วิวัฒนาการทางการเงิน พวกเราที่เกิดมาในยุคของการใช้เงินกระดาษ เช่น แบงค์ร้อย แบงค์ห้าร้อย แบงค์พัน หรือเหรียญโลหะ เช่น เหรียญบาท อาจจะไม่เคยรู้มาก่อนว่า รูปร่างหน้าตาของเงินเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆตามยุคสมัย
เงินในแต่ละยุคสมัย หน้าตาก็ไม่เหมือนกัน แล้วแต่ความสะดวกในการใช้จ่ายในสังคมนั้นๆ ยุคนั้นๆ ที่มีความเห็นพ้องต้องกัน ยอมรับร่วมกันว่าให้สิ่งนี้ เป็น เงิน เรามาเริ่มกันที่ยุคแรกก่อนเลยค่ะ
Barter แลกเปลี่ยน ตรงตัวเลยค่ะ ก็เอาของที่มีมาแลกกัน เช่น เอาข้าวไปแลกไข่ เอาไก่ไปแลกปลา แต่ปัญหาก็คือ บางทีมันไม่ลงตัว เช่น ไก่ 1ตัว แลกปลากี่ตัวดี ถึงจะสะดวกใจทั้งสองฝ่าย
Gold standard เป็นยุคที่เริ่มมีการทำการค้าในระดับโลก จึงต้องหามาตรฐานการแลกเปลี่ยนที่ยอมรับกันได้ในระดับโลก นั่นก็คือ ทองคำ และทองคำก็ยังคงได้รับการยอมรับมาจนถึงทุกวันนี้ว่าเป็นตัวสะสมความมั่งคั่งที่ดี แต่ในแง่ของการนำมาใช้เป็นเงิน เพื่อจับจ่ายใช้สอยนั้น ไม่สะดวกเอาซะเลย
Metal coins & Paper money เหรียญโลหะและเงินกระดาษ ก็คือเงินที่ออกโดยรัฐบาลแต่ละประเทศ(เงิน FIAT) ที่เราใช้กันอยู่ตอนนี้ ซึ่งแต่ก่อนเงิน FIAT นี้ เคยมีทองคำสำรองมูลค่า หมายความว่าการจะพิมพ์เงินกระดาษออกมาได้นั้น ต้องมีทองคำเป็นตัวหนุนหลัง แต่ในปี ค.ศ.1971 นาย Richard Nixon ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศให้เงินลอยตัวออกจากทองคำ นั่นหมายความว่า เค้าสามารถปริ๊นท์เงินได้ไม่อั้น โดยไม่ต้องมีทองคำมาสำรองอีกต่อไป และนั่นคือจุดเริ่มต้นของหายนะ ที่ทำให้เงินด้อยค่าลงเรื่อยๆ จนเกิดภาวะเงินเฟ้อ ในปัจจุบัน
Plastic card บัตรกดเงินสด ATM เครดิตการ์ด เดบิตการ์ด เปิดกระเป๋าสตางค์ก็จะเห็น บางคนมีบัตรแข็งๆพวกนี้มากกว่าเงินสดซะอีก บัตรพวกนี้ก็เริ่มเอามาใช้จ่ายได้แทนการหยิบจับเงินสด
Electronic money เงินที่ใช้จ่ายกันผ่านแอพฯธนาคารบนมือถือ เริ่มมีความเป็นเงินดิจิทัล คือเป็นแค่ตัวเลขที่วิ่งไปมาหากัน ไม่จำเป็นต้องจับต้องได้ ลดการกดเงินสด ใช้กันมากกับการซื้อขายสินค้าออนไลน์ เงินประเภทนี้ ระบบหลังบ้านจะเป็น Server ของแต่ละธนาคาร ที่ทำบัญชีโอนออก-รับเข้า เงินของแต่ละคน ซึ่งก็ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร เพราะมันสามารถแฮ็คได้
มาถึงพระเอกของเรา Cryptocurrency (คริปโตเคอเรนซี่) ซึ่งก็เป็นสกุลเงินดิจิทัล ที่เป็นตัวเลขวิ่งไปมาหากัน จับต้องไม่ได้ แต่ใช้ซื้อสินค้าและบริการได้ แต่ไม่เหมือนเงิน Electronic นะคะ เพราะระบบหลังบ้านของเงินคริปโตเคอเรนซี่นี้ ก็คือ Blockchain (บล็อกเชน) ไม่ต้องพึ่งพาธนาคารในการทำบัญชี และเบื้องหลังของการกำเนิดเงินคริปโตเคอเรนซี่นี้ ก็เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อนี่แหละค่ะ เพราะเป็นเงินที่ออกโดยรหัสคอมพิวเตอร์ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีรัฐบาลใดควบคุมได้ และมีคุณสมบัติเป็นเงินที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้
เรากำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนถ่าย ที่มีการใช้เงินหลายๆรูปแบบในเวลาเดียวกัน มีทั้ง เงินกระดาษ บัตรเครดิต โอนเงินผ่านแอพฯธนาคารบนมือถือ และเริ่มมีคนใช้คริปโตเคอเรนซี่ ในการซื้อสินค้ากันแล้ว แต่ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เงินคริปโตจะมาแทนที่เงินทั้งหมด ที่เคยเกิดมาก่อนหน้า ดังนั้น มันสำคัญมากที่ทุกคนต้องเข้ามาศึกษาคริปโตเคอเรนซี่