5 ขั้นตอนอัพเกรด สู่ Ethereum 2.0

5 ขั้นตอนอัพเกรด สู่ Ethereum 2.0

Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ได้พูดถึงแผนงานพัฒนาเครือข่ายบล็อกเชน ที่ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนอัพเกรด สู่ Ethereum 2.0 ได้แก่ The Merge,The Surge, The Verge,The Purge และ The Splurge ซึ่งมีความสำคัญต่อการไปต่อและความรุ่งเรืองของบล็อกเชน Ethereum

เพื่อให้เครือข่ายบรรลุถึงการกระจายอำนาจขั้นสูงสุดและเพิ่มประสิทธิภาพการขยายขนาดได้อย่างเต็มที่ Vitalik กล่าวว่า Ethereum จะต้อง “คล่องตัวและมีความเบากว่าเดิม” ในแง่ของข้อมูลบล็อกเชน เพื่อให้สามารถรองรับจำนวนผู้ใช้งานได้มากขึ้น

ขั้นตอนแรกเรียกว่า “The Merge” เป็นการเปลี่ยนระบบฉันทามติจาก PoW เป็น PoS แบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในเดือนกันนายน ปี 2022

ขั้นตอนที่สองเรียกว่า “The Surge” เป็นตัวส่งเสริมความสามารถในการปรับขนาด, bandwidth และความจุของ Ethereum อย่างมาก โดยเฉพาะใน zk-rollup ซึ่งเป็นเทคโนโลยีช่วยปรับขนาดในเครือข่ายเลเยอร์2

แม้ว่า Ethereum จะมีความคืบหน้าอย่างมากในปี 2021 ซึ่งรวมถึงการอัพเกรด London hard fork และการอัพเกรด EIP-1559 ที่ทำให้เกิดกลไกการเผา ETH ที่ได้จากาการจ่ายค่า gas แต่ปัญหาค่า gas แพงก็ยังคงมีอยู่

แต่ก็นับได้ว่าการอัพเกรดที่กล่าวมาข้างต้น ก็ช่วยให้ค่า gas บน Ethereum ลดลงได้อย่างมาก โดย Vitalik  กล่าวว่า “หากเครือข่ายมีพื้นที่มากพอที่จะสามารถรองรับจำนวนธุรกรรมได้มากขึ้น ผู้ใช้งานก็ไม่จำเป็นต้องแย่งกันทำธุรกรรม ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมก็จะลดลงอย่างมาก”

ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา Vitalik กล่าวว่า เครือข่าย Ethereum มีความพัฒนาก้าวหน้าไปแล้วประมาณ 50% ซึ่งหากขั้นตอน The Merge เสร็จสมบูรณ์ ก็ถือว่าคืบหน้าไปได้ 60% และจะถึง 80% เมื่อเครือข่ายมีการใช้งาน sharding เต็มรูปแบบ

เขาคาดว่าจะใช้เวลาอีก 6 ปีก่อนที่แผนงานจะเสร็จสมบูรณ์และการเพิ่มประสิทธิภาพจะเต็ม 100%

หลังจากขั้นตอนที่ 3 ที่ชื่อว่า “The Verge” (Verkle Trees) มาถึง ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียกใช้โหนดได้มากขึ้น มันคือ “การทำให้เกิดการกระจายอำนาจในการเข้าถึงผู้ร่วมใช้งานบนเครือข่าย ในวงกว้างที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้สำหรับทุกคน และทุกคนที่ต้องการตรวจสอบความถูกต้องของระบบนิเวศเครือข่าย” Vitalik กล่าว

สองขั้นตอนสุดท้ายคือ “The Purge” จะเป็นการล้างข้อมูลในอดีต และ “The Splurge” ที่รวมถึงการอัพเดตเล็กน้อยอื่นๆ ทั้งหมด

แม้ว่า เลเยอร์ที่ 1 บนบล็อกเชน Ethereum ซึ่งเป็นเชนหลัก จะยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานจำนวนมาก แต่ด้วยความก้าวหน้าอันน่าทึ่งที่ได้เกิดขึ้นกับเทคโนโลยี เลเยอร์ที่ 2 ที่เป็นตัวช่วยเรื่องการขยายขนาดเครือข่ายในปีที่ผ่านมา เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงได้สนับสนุนความสามารถในการปรับขนาดบนเครือข่ายเลเยอร์ที่ 2” Vitalik กล่าวทิ้งท้าย