CBDC คืออะไร ทำความรู้จักสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC)
ก่อนจะรู้จักว่า CBDC คืออะไร เรามาทำความรู้จักกับ คำว่า “สกุลเงินดิจิทัล” กันก่อน สกุลเงินดิจิทัล คือ เงินที่ไม่มีรูปร่าง จับต้องไม่ได้ สร้างขึ้นมาบนระบบอินเตอร์เน็ต ด้วยวิธีการเข้ารหัส การใช้จ่าย และจัดเก็บบัญชีจะอยู่บนอินเตอร์เน็ต ที่เรียกว่า “บล็อกเชน” มีความปลอดภัย ไม่ให้สามารถปลอมแปลง หรือจ่ายซ้ำได้ เรียกอีกอย่างว่า “คริปโตเคอเรนซี่”
ซึ่งธนาคารกลางหลายๆประเทศ ได้หันมาสนใจทำการศึกษา และพัฒนาสกุลเงิน CBDC ของตัวเองขึ้นมา เพราะข้อดีของเงินดิจิทัล คือ ลดต้นทุนการสร้างเงินสดที่ต้องใช้ทรัพยากรในการพิมพ์เงิน ลดต้นทุนและข้อจำกัด ในการโอนเงินข้ามประเทศที่ ต้องมีระบบและตัวกลางมากมาย และเข้าถึงได้ยาก ในขณะที่สกุลเงินดิจิทัลนั้น ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ง่ายในทุกที่ทุกเวลา
สกุลเงินดิจิทัลในปัจจุบัน แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 1.สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยเอกชน (Private Digital Currency) และ 2.สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency: CBDC)
ในบรรดาเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ ที่มีมากมายกว่า 20,000 สกุล ณ ตอนนี้ ก็นับว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัล ที่ออกโดยเอกชน แต่มูลค่ามีความผันผวนมาก ในขณะที่สกุลเงินดิจิทัลเอกชน ที่เป็นกลุ่ม Stablecoin มูลค่าจะไม่ผันผวน เพราะสร้างโดยมีสินทรัพย์หนุนหลัง
ส่วนทางด้านสกุลเงินดิจิทัล ที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC) ยังอยู่ในขั้นการศึกษา นำโดย “ดิจิทัลหยวน : e-CNY” ซึ่งมีการพัฒนาเร็วที่สุด โดยจะประกาศใช้ในระดับประชาชนทั่วประเทศในปี 2565
หันมาทางบ้านเรา ก็ไม่ได้น้อยหน้าล้าหลังแต่อย่างใด ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มแรกๆของโลก ที่พัฒนาสกุลเงินดิจิทัล ภายใต้ชื่อ “โครงการอินทนนท์” (ส.ค. 2561) โดยใช้ในระดับสถาบันการเงิน (wholesale CBDC) จากนั้นต่อยอดการใช้ CBDC เพื่อโอนเงินระหว่างประเทศ โดยอยู่ระหว่างทดลองร่วมกับธนาคารกลางฮ่องกง จีน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกำลังขยายขอบเขตสกุลเงินดิจิทัล ลงมาในระดับประชาชน (retail CBDC)
โดยแนวคิดการใช้เงินดิจิทัลในระดับประชาชน หรือ “ไทยบาทดิจิทัล” นั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยได้วางโครงสร้างไว้คร่าวๆ ว่าจะตรามูลค่า 1 ต่อ 1 กับเงินบาท แต่ข้อดีคือการเข้าถึงของประชาชน ในทุกที่ทุกเวลา ในต้นทุนที่ถูกกว่าระบบปัจจุบัน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้เร่งดำเนินการออกแบบเงินดิจิทัลภาคประชาชนโดยจะทดสอบใช้งานจริง (Pilot Test) ในขั้นพื้นฐาน ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2565
โดยเริ่มที่การรับ แลก และชำระค่าสินค้าและบริการทั้ งออนไลน์และออฟไลน์ สำหรับร้านค้าที่ร่วมให้บริการก่อน และจะเริ่มใช้ในธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน และขยายออกไปยังประชาชนกลุ่มเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม การพัฒนา “ไทยบาทดิจิทัล” ที่สมบูรณ์ยังมีอีกหลายขั้นตอน ทั้งอัตราแลกเปลี่ยน การสร้างบัญชีเงินฝาก วิธีการโอนเงิน การสร้างระบบความปลอดภัย และความไว้วางใจจากประชาชน
