Binance ยอมรับว่า มีการจัดเก็บโทเค็นหลักประกันไว้ในกระเป๋าเงินเดียวกันกับเงินของลูกค้า
ภาพ: Jason Alden/Bloomberg

Binance ยอมรับว่ามีการจัดเก็บโทเค็นหลักประกันไว้ในกระเป๋าเงินเดียวกันกับเงินของลูกค้า

Binance Holdings Ltd. ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม crypto ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ออกมา ยอมรับว่า มีความผิดพลาดในเรื่องของการเก็บโทเค็นหลักประกันบางส่วนไว้ในกระเป๋าเงินเดียวกันกับเงินของลูกค้าที่ฝากไว้ในกระดานเทรด

เงินสำรองเกือบครึ่งหนึ่งของ 94 เหรียญที่ Binance เป็นผู้ออก ซึ่งเรียกว่าโทเค็น Binance-peg หรือ “B-Tokens” ปัจจุบันถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเงินเดี่ยว ที่เรียกว่า “Binance 8” ซึ่งเป็นกระเป๋าเดียวกันกับที่จัดเก็บสินทรัพย์ของลูกค้าไว้ด้วย ตามรายชื่อที่ปรากฏบนเว็บไซต์ เมื่อวันจันทร์ โดยในกระเป๋าเงินมีโทเค็นสำรองมากกว่าที่จำเป็นสำหรับจำนวน B-Token ที่ Binance ออก

ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่า หลักประกันนั้นถูกผสมกับเหรียญของลูกค้า แทนที่จะถูกจัดเก็บแยกต่างหาก เช่นเดียวกับที่เคยทำกับโทเค็น Binance-peg อื่นๆ ตามแนวทางของบริษัทเอง

โฆษกของ Binance กล่าวในแถลงการณ์ เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ ‘Binance 8’ คือกระเป๋าเงินเย็น (cold wallet) ของกระดานเทรด สินทรัพย์หลักประกันก่อนหน้านี้ที่ถูกย้ายไปยังกระเป๋าเงินนี้ สาเหตุเนื่องมาจากความผิดพลาดและอ้างอิงตามหน้าของ B-Token Proof of Collateral” และกล่าวต่ออีกว่า “Binance ได้ตระหนักถึงความผิดพลาดนี้และกำลังดำเนินการโอนสินทรัพย์เหล่านี้ไปยังกระเป๋าเงินหลักประกันโดยเฉพาะ”

การจัดการเงินสำรองของบริษัท Crypto ในขณะที่กระบวนการที่ทำดูเหมือนจะไม่โปร่งใส ได้กลายมาเป็นประเด็นร้อนสำหรับอุตสาหกรรม หลังจากการล่มสลายของแพลตฟอร์มคู่แข่ง FTX ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นกระดานเทรดคริปโตที่ตั้งในบาฮามาส และก่อตั้งโดย Sam Bankman-Fried

โดยที่ Sam Bankman-Fried ถูกกล่าวหาว่า อนุญาตให้บริษัทการค้าในเครืออย่าง Alameda Research เข้าถึงทรัพย์สินของลูกค้าได้อย่างอิสระเพื่อเติมพลังในการเดิมพันของตนเอง และด้วยเงินเดิมพันหลายพันล้านดอลลาร์ ลูกค้าจึงกระตือรือร้นที่จะคอยจับตาดูสัญญาณเตือนของปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อีก จากกระดานเทรดอื่น ๆ

เรื่องอื้อฉาวของ FTX ทำให้เกิดวิกฤตความเชื่อมั่นในกระดานเทรดคริปโต อื่น ๆ โดยลูกค้าต่างพากันถอนทรัพย์สินของตนออกจากกระดานเทรด ทำให้กระดานเทรดต่าง ๆ ต้องออกมาแสดงความโปร่งใส ด้วยการทำ proof-of-reserve ที่แสดงหลักฐานเงินสำรองบนบล็อกเชน ที่ลูกค้าสามารถเข้าไปดูได้

แต่ถึงแม้ว่าการเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้จะแสดงภาพรวมโดยสังเขปของจำนวนเงินสำรองที่กระดานเทรดถืออยู่ แต่ก็ยังขาดข้อมูลทางการเงินที่ได้รับการตรวจสอบอย่างครบถ้วน และไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับหนี้สินของกระดานเทรดหรือข้อมูลใด ๆ ที่สังเกตได้ในระยะเวลาที่นานขึ้น

B-โทเค็น

ในกรณีนี้ ข้อผิดพลาดเกิดขึ้นจากวิธีการที่ Binance จัดการเงินสำรองสำหรับคริปโตเคอเรนซีที่สร้างขึ้นเอง

สินทรัพย์คริปโตมักจะเข้ากันได้กับบล็อกเชนที่สร้างขึ้นเองเท่านั้น ซึ่งหมายความว่านักพัฒนาจะต้องหาวิธีที่ช่วยให้พวกเขาใช้โทเค็น อย่างเช่น Bitcoin ที่บล็อกเชนอื่น ๆ ได้ ซึ่งทาง Binance ได้ผลิตโทเค็นของบล็อกเชนอื่นในเวอร์ชันของตัวเอง (B-Token) เป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ อย่างเช่น Ether, USDC ของ Circle และ USDT ของ Tether เพื่อให้สามารถใช้งานได้บน BNB Smart Chain และ BNB Beacon Chain ซึ่งเป็นบล็อกเชนของตัวเอง

B-Token เหล่านั้นควรได้รับการค้ำประกันแบบ 1:1 โดยการล็อคเหรียญจริงที่ใช้อ้างอิงเพื่อออก B-Token และเงินค้ำประกันดังกล่าวควรเก็บไว้ในกระเป๋าเงินเฉพาะ เพื่อแยกออกจากเงินของลูกค้าที่ฝากไว้และเงินทุนของกระดานเทรด อ้างอิงตามกระบวนการที่โพสต์บนเว็บไซต์ของ Binance โดยทั่วไป B-Token จะไม่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลหรือการมีส่วนร่วมโดยตรงจากผู้ออกเหรียญดั้งเดิม

B-Token มากกว่า 40 รายการ ถูกระบุว่า ใช้กระเป๋า Binance 8 เพื่อจัดเก็บเงินค้ำประกัน ซึ่งเป็นกระเป๋าประเภทที่เรียกว่า exchange wallet โดยทางแพลตฟอร์ม Binance ใช้ในการจัดเก็บทรัพย์สินของลูกค้า แต่กระเป๋าใบนี้กลับถูกระบุว่า เป็นที่จัดเก็บเงินค้ำประกัน เวอร์ชัน Binance-peg ของสกุลเงินคริปโตหลัก อีกหลายสกุล รวมถึงเหรียญ DAI และ MKR ของ MakerDAO, Aave, UNI ของ Uniswap และ MATIC ของ Polygon

การนำเอาสินทรัพย์ค้ำประกันมารวมกับเงินของลูกค้า จึงหมายความว่า เป็นการยากที่จะตรวจสอบจำนวนเหรียญที่ Binance สำรองไว้เพื่อค้ำประกันในการออก B-Toen ว่าจะถูกต้องตรงกับจำนวนและเพียงพอสำหรับการถอนกลับเป็นเหรียญดั้งเดิมหรือไม่

โฆษกกล่าวว่า สินทรัพย์ของลูกค้าทั้งหมดที่ฝากไว้บนกระดานเทรดนั้น “ยังคงสำรองแบบ 1:1” อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ Binance เรียกว่า “การกำกับดูแลการดำเนินงานในอดีต” ไม่ได้รวมถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับกระเป๋า Binance 8

กระเป๋าเงินพันล้านดอลลาร์

Binance ได้สร้าง B-Token ออกมาทั้งหมด 41 รายการ รวมมูลค่ากว่า 539 ล้านดอลลาร์ ที่มี Binance 8 เป็นกระเป๋าเงินค้ำประกัน ตามการคำนวณของ Bloomberg โดยดูจากข้อมูลของ Binance ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม ซึ่งในขณะนั้นกระเป๋าเงินได้ถือครองสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องมากกว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์ โดยรวมแล้วใน Binance 8 มีโทเค็นคริปโตต่าง ๆ มากกว่า 16.5 พันล้านดอลลาร์ นอกเหนือจากที่เกี่ยวข้องกับ B-Token ตามข้อมูลจาก Arkham แพลตฟอร์มข่าวกรองคริปโต

กระเป๋าเงินที่ใช้ร่วมกัน

B-Token มากกว่า 539 ล้านดอลลาร์ ได้รับผลกระทบ จากการปะปนกันของเงินค้ำประกันและเงินของลูกค้าที่ฝากไว้บนกระดานเทรด

Binance ยอมรับว่า มีการจัดเก็บโทเค็นหลักประกันไว้ในกระเป๋าเงินเดียวกันกับเงินของลูกค้า1
ที่มา: Binance, การคำนวณของ Bloomberg หมายเหตุ: ข้อมูลแสดงมูลค่าของ B-Tokens ทั้งหมดที่มีการสำรองเก็บไว้ในกระเป๋า exchange wallet ‘Binance 8’ ราคาที่ถูกต้อง ณ วันที่ 20 มกราคม

นั่นหมายความว่า B-Token บางส่วนในกระเป๋า มีเงินค้ำประกันมากเกินความจำเป็น ตัวอย่างเช่น Binance 8 มีเงินสำรองเกือบ 22,700% สำหรับ OGN ของ OriginToken ในวันจันทร์ และ 18,000 พันล้านสำรองสำหรับ LRC ของ Loopring

ก่อนหน้านี้ Binance รับรู้ปัญหา ที่เคยมีประวัติเกี่ยวกับการสำรองเงินค้ำประกันเหรียญ Stablecoin ‘BUSD’ ที่ไม่เพียงพอในการออก B-Token ด้วยการเห็นว่าเวอร์ชัน Binance-peg เหลือสินทรัพย์ที่มูลค่าขาดหายไปมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หลายครั้ง ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นนี้ทางโฆษกกล่าวว่า เหตุการณ์นี้อาจเกิดจากกระดานเทรดมีการระบุกระเป๋าเงินค้ำประกันที่ไม่ถูกต้อง

ปัญหานี้ถูกค้นพบครั้งแรกโดยบริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน ChainArgos เมื่อวันที่ 17 มกราคม Jonathan Reiter ผู้ร่วมก่อตั้ง ChainArgos กล่าวว่า การวางเงินค้ำประกันที่มากเกินไปของ B-Token บางตัว และเก็บไว้ในกระเป๋า Binance 8 ของ Binance แสดงให้เห็นว่า “มีการปะปนกันอย่างชัดเจนระหว่างเงินของลูกค้าและกองทุนเงินค้ำประกัน”

Binance ได้ออกรายงาน proof-of-reserves ครั้งแรก ที่ดำเนินการโดยบริษัทตรวจสอบบัญชี Mazars เมื่อปลายปีที่แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เผยแพร่รายงานเพิ่มเติมใด ๆ หลังจากที่ Mazars ยุติการปฏิบัติงาน เนื่องจากตลาดเกิดความไม่พอใจ ในระดับรายละเอียดที่รายงานดังกล่าวสามารถให้ได้ Andrew Thurman นักวิเคราะห์ของบริษัทข้อมูลคริปโต Nansen กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของความรู้เรื่องคริปโตในหมู่นักลงทุน น่าจะส่งผลให้เกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้มากขึ้นในอนาคต

Thurman กล่าวในทวีต เมื่อวันอังคาร ว่า “นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณรวมท่าทีของโทเค็นที่ไม่ครบถ้วน เข้ากับความโปร่งใส เช่น Proof of Reserves กับกองทัพผู้สังเกตการณ์ที่มีความรู้ในเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น”

ที่มา LINK

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *