Bridge หรือ Cross-chain คืออะไร?
โดยปกติแล้ว แต่ละบล็อกเชนจะไม่สามารถบันทึกข้อมูลข้ามกันไปมาได้ กล่าวคือแต่ละบล็อกเชนไม่สามารถสื่อสารกันข้ามเชนได้ ดังนั้นถ้าหากเราต้องการโอนเหรียญ BTC ที่สร้างและใช้งานอยู่บนบล็อกเชน Bitcoin ไปที่บล็อกเชน Ethereum เพื่อเอาไปลงทุนในแพลตฟอร์ม DeFi ที่รันอยู่บน Ethereum จึงไม่สามารถทำได้
นี่จึงเป็นเหตุผลที่มีนักพัฒนาสร้างเทคโนโลยี Cross-chain ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่เป็นสะพาน (Bridge) เชื่อมต่อระหว่างบล็อกเชน ทำให้นักลงทุนที่มี BTC หรือเหรียญอื่นๆ สามารถลงทุนในแพลตฟอร์ม DeFi ที่อยู่คนละบล็อกเชนได้ ซึ่งปัจจุบันผู้ให้บริการ bridge ก็มีหลายเจ้า
ในขั้นตอนของการโอนเหรียญผ่าน Bridge เหรียญของเราจริงๆจะถูกล็อกไว้บน smart contract ของผู้ให้บริการ Cross-chain เจ้านั้น และเหรียญที่ออกปลายทางจะเป็นเหรียญที่ถูก mint ขึ้นมาใหม่ตามจำนวนที่เราล็อกไว้ (ตัวอย่างเหรียญ mint ก็คือพวกเหรียญที่ถูกห่อ(wrapped)ทั้งหลาย เช่น เช่น wBTC, wETH)
และเมื่อเราต้องการโอนเหรียญกลับมาผ่านทาง bridge เหรียญที่เราจะโอน(ซึ่งเป็นเหรียญห่อ)นั้นจะถูกเบิร์นออกไป และเหรียญจริงๆที่ถูกล็อคไว้ จะถูกปลดล็อกเท่ากับจำนวนที่เราจะโอนข้ามมา และเข้าสู่กระเป๋าของผู้ทำการ bridge ทั้งหมดนี้ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ ผ่าน smart contract
ยิ่งมีคนมา bridge กันเยอะ ก็ยิ่งหมายถึงมีจำนวนเงินคริปโตที่มาล็อกไว้(Total Value Locked : TVL) เป็นจำนวนมากนั่นเอง
ดังนั้น ความเสี่ยงทั้งหมดจึงตกอยู่ที่ smart contract เพราะถ้าหากเขียน smart contract ไม่รัดกุม ก็จะเกิดช่องโหว่ให้นักแฮค มาเจาะเอาเงินที่ล็อคไว้ไปได้
ยกตัวอย่างกรณีที่ BNB Smart Chain โดนแฮค ผู้โจมตี ก็ทำผ่านช่องทาง Official Bridge ของ Binance
อ่านข่าวเพิ่มเติม: ด่วน! BNB Chain ถูกโจมตี คาดสูญแล้ว “2.2 หมื่นลบ.
ดังนั้น นอกเหนือจากความเสี่ยงในการลงทุนบนแพลตฟอร์ม DeFi ต่างๆแล้ว การเริ่มต้นตั้งแต่การ bridge เหรียญที่จะลงทุนข้ามเชน ก็มีความเสี่ยงเกิดขึ้นแล้วนั่นเอง
