Ethereum เข้าสู่ภาวะ เงินฝืด เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การอัพเกรด The Merge และราคา ETH ยังคงเสี่ยงที่จะลดลงมาอีก 50%
การตั้งค่าทางเทคนิคที่เป็นขาลง และจำนวนวาฬ Ether ที่ลดลง ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านลบ สำหรับราคาของ ETH
อัตราการผลิต Ether ประจำปี ลดลงต่ำกว่า 0 เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ที่ Ethereum เปลี่ยนไปใช้ Proof-of-stake ผ่านการอัพเกรด The Merge ในเดือนกันยายน อะไรคือเหตุผล? กิจกรรมบน on-chain พุ่งสูงขึ้น ท่ามกลางความพังทลายครั้งใหญ่ ของตลาดสกุลเงินดิจิทัล
Ether เข้าสู่ภาวะ เงินฝืด อย่างแท้จริง
ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน โทเคน Ether ถูกเผาออกไปจากระบบ มากกว่าจำนวนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ซึ่งโทเคนที่ถูกเผา มาจากค่าธรรมเนียมใช้งาน ที่จ่ายให้กับเครือข่าย Ethereum พูดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งธุรกรรมออนไลน์มีมากเท่าไหร่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ETH ก็ยิ่งถูกเผาผลาญมากขึ้นเท่านั้น
ในกรอบเวลา 30 วัน เครือข่าย Ethereum ได้เผา ETH ไปในอัตรา 773,000 โทเคนต่อปี ในขณะที่อัตราการสร้างโทเคนใหม่ อยู่ที่ 603,000 โทเคน เท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง อุปทานของ ETH ได้ลดลง 0.14% ต่อปี
การเติบโตของอุปทาน Ether ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน ที่มา: Ultrasound.Money
โดยรวมแล้ว เครือข่าย Ethereum ได้เผาโทเคนไปแล้ว เป็นจำนวน 2.72 ล้าน ETH นับตั้งแต่มีการเปิดตัวกลไกการเผาค่าธรรมเนียม ในเดือนสิงหาคม 2021 ซึ่งเท่ากับ เป็นการทำลายโทเคน ออกไปจากระบบแบบถาวร เกือบ 4 ETH ต่อนาที
ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมของ Ethereum พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุด ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2022 เนื่องจากนักเทรด รีบโอน ETH เข้าและออกจากกระดานแลกเปลี่ยน ท่ามกลางการล่มสลายอย่างหนักของ FTX
ประสิทธิภาพค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม Ethereum ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ที่มา: YCharts
ในรายละเอียดจำนวน ETH เกือบ 1 ล้าน ที่ออกจากกระดานแลกเปลี่ยน ในเดือนพฤศจิกายน ตามข้อมูลจาก Glassnode
ยอดคงเหลือของ Ether ในกระดานแลกเปลี่ยนทั้งหมด ที่มา: Glassnode
นักวิเคราะห์หลายคน มองว่าแนวโน้มที่ Ethereum เข้าสู่ภาวะ เงินฝืด จะเป็นสัญญาณของตลาดกระทิง ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มความขาดแคลนโดยรวมได้ แต่อัตรา เงินฝืดอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากความผันผวน ของราคา ETH ในปัจจุบัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการฟื้นตัวในระยะสั้น
ราคาของ Ether กำลังเข้าสู่ภาวะอันตราย โดยอาจลดลงอีก 50% เนื่องจากการพังทลายของตลาด
ราคาของ Ether ลดลงเกือบ 20% ต่อเดือน และซื้อขายที่ระดับ $1,250 ในวันที่ 11 พฤศจิกายน หลังจากที่ดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดที่ $1,075
นอกจากนี้ กราฟการเคลื่อนไหวของราคา Ether ยังเข้าสู่แพทเทิรน์สามเหลี่ยม ซึ่งอาจทำให้ราคาลดลงอีก 50% จากระดับปัจจุบัน
กราฟแบบสามเหลี่ยมสมมาตร เป็นแพทเทิร์นต่อเนื่อง หมายความว่า โดยทั่วไปแล้ว กราฟจะเลือกทาง หลังจากราคาทะลุออกจากกรอบของมัน ในขณะที่ไล่ตามทิศทางของแนวโน้มก่อนหน้า ตามกฎของการวิเคราะห์ทางเทคนิค เป้าหมายกำไรของแพทเทิร์นนี้ จะถูกวัดหลังจากเพิ่มความสูงของสามเหลี่ยม ไปยังจุดที่ราคาทะลุออกจากกรอบ
กราฟราคา ETH/USD ใน Time Fram 3 วัน ที่มีการวาดแพทเทิร์นแบบสามเหลี่ยมสมมาตร ที่มา: TradingView
จากแพทเทิร์นนี้ จะทำให้เป้าหมายด้านลบ อยู่ที่ประมาณ 675 ดอลลาร์ ภายในเดือนธันวาคม 2022 ซึ่งถือว่า ราคาจะลดลง ประมาณ 50% จากราคาปัจจุบัน
ต้นตอข้อโต้แย้งของภาวะตลาดหมีที่มากขึ้น เกิดจากการลดลงของอุปทาน ที่ถือครองโดยนักลงทุนที่ร่ำรวยที่สุด ของ Ethereum
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะเวลาของแนวโน้มขาลง ของ Ether ในเดือนพฤศจิกายนนั้น สอดคล้องกับการลดลง ของอุปทาน Ether ถือครองโดยที่อยู่กระเป๋าเงิน ที่มียอดคงเหลือ ระหว่าง 1 ล้าน ETH ถึง 10 ล้าน ETH
เปอร์เซ็นต์ของอุปทาน Ether ที่ถือครองโดยที่อยู่กระเป๋าเงิน ที่มียอดคงเหลือ 10,000–10 ล้าน ETH ที่มา : Santiment
ในทางกลับกัน ที่อยู่กระเป๋าเงินที่มียอดคงเหลือระหว่าง 1,000 ETH ถึง 10,000 ETH ได้เพิ่มขึ้นในช่วงที่ราคาลดลง
นี่อาจให้ความหมายได้ 2 ประการ ประการแรก ที่อยู่กระเป๋าเงินที่มีโทเคน ETH มากกว่า 10,000 รายการลดการถือครอง และเข้าสู่กลุ่มที่เล็กกว่า
กลุ่มเหล่านี้ อาจรวมถึง กระเป๋าเงินที่อยู่บนกระดานแลกเปลี่ยน ที่ได้เห็นการไหลออกของ ETH จำนวนมาก ท่ามกลางความล้มเหลวของ FTX
เปอร์เซ็นต์ของอุปทาน Ether ที่ถือครองโดยที่อยู่กระเป๋าเงิน ที่มียอดคงเหลือ 10–10,000 ETH ที่มา : Santiment
ประการที่สอง กลุ่มคนจำนวน 10–10,000 ETH มองว่าการลดลงของราคาของ Ether เป็นโอกาส “ซื้อช่วงขาลง” ซึ่งเพิ่มการควบคุมอุปทานของ Ether ในเดือนพฤศจิกายน
ที่มา LINK
