ภาพจาก: Coins.ph
วิธีการจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลของตัวเอง ยังคงเป็นข้อกังวลหลัก สำหรับนักลงทุนในโลกคริปโต ด้วยตัวเลือก, คุณลักษณะ และฟังก์ชันที่แตกต่างกันมากมาย ของกระเป๋าเก็บทรัพย์สินดิจิทัล การทำความเข้าใจความแตกต่างพื้นฐานจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับ hot wallets และ cold wallets ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนจำเป็นต้องรู้
กระเป๋าเงินร้อนและกระเป๋าเงินเย็น (hot wallet และ cold wallet) ยังคงเป็นวิธีการทั่วไปในการจัดเก็บสกุลเงินดิจิทัลของคุณ การแยกแยะความแตกต่างและความคล้ายคลึงกันของทั้งสองอย่าง สามารถช่วยให้นักลงทุนปรับตัวเลือก เฉพาะที่เหมาะสมกับความต้องการของพวกเขาได้ดีที่สุด
ทำความเข้าใจ Crypto Wallet กระเป๋าเงินคริปโต
ภาพจาก: Tech Republic
ก่อนที่จะเข้าใจความแตกต่างระหว่างกระเป๋าเงินแบบร้อนและกระเป๋าเงินเย็น สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจกระเป๋าเงินคริปโตโดยทั่ว ๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระเป๋าเงิน cryptocurrency จะเก็บ กุญแจส่วนตัว (private key) เพื่อให้คุณสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลของคุณได้ หลังจากที่คุณซื้อมาหรือขุดมาได้ จากนั้น เมื่อมีการทำธุรกรรมเกิดขึ้น ก็จำเป็นต้องใช้รหัสส่วนตัว เพื่อให้การทำธุรกรรมนั้นเสร็จสมบูรณ์
กระเป๋าเงิน Cryptocurrency เป็นสิ่งจำเป็นในการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะมันช่วยรักษาความปลอดภัย Investopedia ตั้งข้อสังเกตว่า private key และ public key นั้น “ทำจากชุดตัวอักษรและตัวเลขเข้ารหัสที่รับผิดชอบในการถ่ายโอน คริปโต สู่กระเป๋าเงินของคุณให้สำเร็จ”
Private key เป็นสิ่งจำเป็นในโลกคริปโต เนื่องจากเป็นตัวที่ช่วยยืนยันความเป็นเจ้าของ และอนุญาตให้มีการแลกเปลี่ยนคริปโต โดยทำหน้าที่เป็น ‘รหัสผ่านที่จำเป็น’ เมื่อต้องการทำธุรกรรมคริปโต ในขณะที่ public key จะใช้เพื่อส่งคริปโตไปยังผู้อื่น และทำหน้าที่เป็น ‘ชื่อบัญชี’ ของผู้ใช้
Hot Wallet กระเป๋าเงินร้อน
ภาพจาก: CoinMarketCap
ข้อแตกต่างหลักระหว่างกระเป๋าเงินร้อนและกระเป๋าเงินเย็น คือ ‘การเชื่อมต่อ’ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง hot wallets จะเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ในขณะที่ cold wallets จะออฟไลน์โดยสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น ความแตกต่างนั้นทำให้เกิดการตั้งค่าทันทีในสิ่งที่ผู้ใช้ชอบในแต่ละตัวเลือก
Hot wallets ให้ตัวเลือกการจัดเก็บ crypto ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตแก่ผู้ใช้ และมอบคุณสมบัติมากมายให้กับผู้ใช้ ตั้งแต่การส่ง, จัดเก็บ และรับโทเค็น ยิ่งไปกว่านั้น Hot Wallet ยังช่วยให้จัดการได้ง่าย เนื่องจากการเชื่อมต่อระหว่างกันอยู่ตลอดเวลาของ Wallet กับโทรศัพท์ แล็ปท็อป แท็บเล็ต และอื่น ๆ
ภาพจาก: Binance Academy
ความสะดวกในการใช้งานเนื่องจากการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เป็นตัวผลักดันการใช้ hot wallet เป็นหลัก นอกจากนี้ กระเป๋าเงินเหล่านี้ยังมีหลายประเภทและเพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น กระเป๋าเงินยอดนิยมที่รู้จักกันดี ได้แก่ Coinbase Wallet, MetaMask, Trust Wallet และ Exodus Wallet เป็นต้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง MetaMask เป็นกระเป๋าเงินเฉพาะของระบบนิเวศที่รองรับโทเค็นที่ใช้ Ethereum ในขณะที่ Trust Wallet รองรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่แตกต่างกันถึง 65 รายการและเป็น non-custodial ส่วน Exodus Wallet นั้นเป็นซอฟต์แวร์ที่รองรับมากกว่า 260 สกุลเงินคริปโต
ข้อดีและข้อเสียของ Hot Wallet
ภาพจาก: Computerworld.com/ Getty Images
ข้อได้เปรียบที่สำคัญของ hot wallet บนอินเทอร์เน็ตคือความง่ายในการเข้าถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเชื่อมต่อของกระเป๋าเงินเหล่านี้ช่วยให้มีประสิทธิภาพและอินเทอร์เฟซที่แน่นอน ซึ่งมักจะรู้สึกว่าเข้าถึงได้ง่ายกว่าทางเลือกอื่น ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเลือกนี้ใช้งานได้ฟรี นอกเหนือจากความสนใจที่จำเป็นสำหรับการจัดเก็บ
ข้อดีอีกประการของ hot wallet คือการเก็บรักษาเงินของคุณออกจากกระดานซื้อขายคริปโตแบบรวมศูนย์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่ปลอดภัยสำหรับสินทรัพย์ cryptocurrency
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ hot wallet ก็คือความเปราะบางเนื่องจากการเชื่อมต่อ เนื่องจากการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลานี้เอง จึงทำให้ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีทางดิจิทัลที่ชั่วร้ายมากกว่า นอกจากนี้ยังมีกระเป๋าเงินร้อนบางประเภทที่มีเฉพาะตำแหน่งเนื่องจากฟังก์ชันการเชื่อมต่อ
Cold Wallet กระเป๋าเงินเย็น
ภาพจาก: Forbes
ข้อแตกต่างโดยหลัก ๆ ระหว่างทั้ง hot wallet และ cold wallet คือการขาดการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความแตกต่างของทั้งสอง ในทางกลับกัน cold wallet กลับได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเนื่องจากการล่มสลายของ FTX ในปีที่แล้ว ทำให้หลาย ๆ คน ต้องพิจารณาใหม่ว่าพวกเขาควรจัดเก็บ crypto อย่างไรและจัดการกับการป้องกันที่จำเป็นเพื่อรักษาทรัพย์สินของพวกเขาให้ปลอดภัย
กระเป๋าเงินเย็น หรือ cold wallet เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์หลัก ที่โดยทั่วไปแล้ว จะมีลักษณะคล้ายแท่ง USB นอกจากนี้ อาจมีราคาสูงตั้งแต่ 50$ ถึง 200$ แต่ทำงานคล้ายกับ ‘กระเป๋าเงินกระดาษ’ ที่คุณมี โดยรักษาทรัพย์สินของคุณไว้กับตัว ไม่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
ประโยชน์อื่น ๆ ของ cold wallet คือสามารถมีอยู่ได้หลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักลงทุนสามารถใช้กระเป๋าเงินกระดาษ เป็นที่เก็บ public key และ private key ที่พิมพ์ไว้ และสามารถใช้รหัส QR เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมที่รวดเร็วขึ้น หรืออีกทางหนึ่ง ฮาร์ดแวร์วอลเล็ต เป็นอุปกรณ์ออฟไลน์ที่เก็บ key เหล่านั้น ในขณะที่กระเป๋าเงินแบบ deep cold storage เป็นเหมือนตู้เซฟหรือห้องนิรภัย อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่จะใช้สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเข้าถึงทรัพย์สินคริปโตบ่อยๆ
ข้อดีและข้อเสียของ Cold Wallet
ภาพจาก: Lemon Wiki
ข้อได้เปรียบหลัก ของ cold wallet นั้นชัดเจนในความปลอดภัยและการปกป้องทรัพย์สินของคุณ ส่วนใหญ่แล้ว ตัวเลือกนี้แทบจะไม่มีการถูกแฮ็กหรือขโมยทรัพย์สินของคุณเลย ยิ่งไปกว่านั้น cold wallet ยังให้ผู้ใช้ครอบครอง public key และ private key ของสินทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบ และสามารถเคลื่อนย้ายได้ตามความต้องการของนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม ความสะดวกในการเคลื่อนย้ายนี้หมายความว่า cold wallet อาจสูญหายได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้น ราคาของมันมักจะค่อนข้างแพงสำหรับนักลงทุนทั่วไปส่วนใหญ่ และจำเป็นต้องมีความเข้าใจทางเทคนิคในระดับหนึ่งเพื่อนำไปใช้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ลักษณะที่ซับซ้อนนั้นเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย เนื่องจากความซับซ้อนของการใช้งานช่วยให้เกิดความปลอดภัย
แล้วแบบไหนดีที่สุดสำหรับฉัน?
ภาพจาก: Coinbase
คำตอบว่าคุณควรใช้ hot wallet หรือ cold wallet หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคุณ Hot wallet อาจมีความปลอดภัยน้อยกว่า แต่สามารถให้ความสะดวกในการใช้งานสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างรวดเร็ว อีกทางเลือกหนึ่งคือ Cold Wallet นั้นปลอดภัยมากกว่า แต่ให้การเชื่อมต่อกับระบบนิเวศของคริปโตบางระบบได้น้อยกว่า ซึ่งอาจเป็นที่สนใจของนักลงทุน
ท้ายที่สุด การตัดสินใจจะแตกต่างกันไปสำหรับนักลงทุนทุกคนและทุกความต้องการ แต่สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือการทำความเข้าใจถึงข้อดีและข้อเสียของทั้งสองอย่าง เช่นเดียวกับสิ่งที่คุณต้องการเพื่อให้ตัวเองและทรัพย์สินของคุณ ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในโลกของเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่เติบโตตลอดเวลา
ที่มา LINK
