ทำไมฉันจึงเลิกลงทุนใน FIAT PONZI และเริ่ม ออมใน BITCOIN
ข้อโต้แย้งที่น่าเหนื่อยหน่าย ว่า Bitcoin เป็นโครงการ Ponzi นั้น จริงๆคำว่า Ponzi น่าจะใช้กับเงิน fiat มากกว่า เพราะมันทำให้เราไม่สามารถรักษาเงินออมไว้ได้เลย
พวกเราใช้ชีวิตโดยจ่ายบิลไปตามหน้าที่ บริจาคเงินในบัญชีเกษียณ ลงทุนอย่างรอบคอบ แต่รู้สึกเหมือนทุกๆ ปี ทุกอย่างก็ดูจะเข้มงวดขึ้น ยากขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย ในการเอื้อมถึงสิ่งที่เราต้องการ แต่เมื่อเราได้รู้จักกับ Bitcoin กลับทำให้เรามีความหวังขึ้นมาได้
โรคระบาด COVID-19 และการล็อกดาวน์ เริ่มขึ้นในปี 2020 ช่างน่าหดหู่ใจที่โลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มีการพูดถึงผลรวมของเงินจำนวนมหาศาล อย่างไร้ศีลธรรม ในสื่อรายงานข่าวต่างๆ และในที่สุดผลลัพธ์ก็ฟ้องตัวมันเอง:
งบดุลของธนาคารกลางชั้นนำ
เราต้องการคำวิจารณ์ที่ดีกว่านี้
หนึ่งในคำวิจารณ์ที่ถูกอ้างถึงบ่อยที่สุดที่ได้ยินจากนักลงทุน และผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจ ก็คือ Bitcoin เป็นโครงการ Ponzi: เกมของคนโง่ ที่ควักเงินซื้อ ต่อจากนักลงทุนรายก่อน ที่ขายทิ้งไปหาสิ่งใหม่
โพสต์ LinkedIn ที่เป็นแรงบันดาลใจให้บทความนี้ เข้าถึงได้เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน แต่ถูกลบไปแล้ว
โพสต์ข้างต้นแสดงให้เห็นอย่างกระจ่างชัด ถึงการขาดความเข้าใจโดยสิ้นเชิง นับประสาอะไรกับความคิดเชิงวิพากษ์ที่รายล้อมสาย FUD นี้โดยเฉพาะ การขาดความกระหายใคร่รู้ทางปัญญานั้น เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเลยเพราะระบบการศึกษาได้ขังความคิดเราไว้ในแบบล้าหลัง
“เรื่องทั้งหมดขึ้นอยู่กับผู้คนจำนวนมาก ที่ไม่ยอมออมเงินของพวกเขา…”
สิ่งนี้ไม่เป็นความจริง สำหรับตลาดหุ้นหรือไม่? หรือตลาดที่อยู่อาศัย? หรือตลาดสินค้า? ตามตรรกะข้างต้นนั้น ทุกตลาดที่มีความลื่นไหล ของการกำหนดราคาตามอุปสงค์และอุปทาน ก็กลายเป็นโครงการ Ponzi ทั้งหมด ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ถึงเวลาแล้ว ที่จะกลับไปสู่เศรษฐกิจแบบเอาสิ่งของมาแลกเปลี่ยนกัน งั้นหรือ? หรือตลาดหุ้นขึ้นตามผลประกอบการอย่างเดียว โดยไม่มีผู้ซื้อหรืออุปสงค์?
อันที่จริง ดูเหมือนว่าราคาสินค้าจะพุ่งขึ้นเร็วกว่ารายได้ มาตั้งแต่ประมาณปี 1980 แม้ว่าจะคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อก็ตาม:
ภาพด้านบนแสดงอัตราส่วน PE ของ Shiller ของ S&P 500 ซึ่งเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไร สำหรับตลาดหุ้น แต่ปรับตามอัตราเงินเฟ้อแล้ว ทุกคนสามารถพูดว่า “Cantillon effect” ซึ่งหมายถึง การเปลี่ยนแปลงของปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ ที่ส่งผลกระทบต่อราคาของสินค้าต่างๆ ได้ไหม?
FIAT คือ PONZI
คริปโตเป็นอาการของตลาด แต่ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดจากพื้นฐาน ดังจะเห็นได้จากการล่อลวง ให้ผู้คนต้องการร่ำรวยอย่างรวดเร็ว และสุดท้ายก็ถูกเททิ้งจนดูเหมือนทุกอย่างจะพังทลายลง แต่ Bitcoin ไม่ใช่คริปโต และคริปโตไม่ใช่ Bitcoin
ข้อมูลเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐ : ปริมาณเงิน M2 เทียบกับ S&P 500
เงินหลายล้านล้านดอลลาร์ ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ระบบระเบิด แล้วจู่ๆ ตลาดหุ้นก็เฟื่องฟู ในขณะที่ทุกอย่างพังทลาย หากคุณยังไม่ได้ลงทุน คุณจะได้รับความสูญเสียครั้งใหญ่ ทำให้การหาเงินดอลลาร์ของคุณ เพื่อหลีกหนีจากภาวะเงินเฟ้อ และเพื่อให้รอดพ้นจากการเป็นหนูถีบจักร ทำได้ยากขึ้นมาก
หนึ่งในภาพประกอบที่โดดเด่นที่สุด ก็คือ กราฟด้านล่าง ที่แสดงให้เห็นว่า ควรซื้อบ้าน บ้านหลังไหนก็ได้ ไม่สำคัญ เพราะหากคุณยังไม่มีบ้าน และเลือกที่จะเก็บออมเงินแทน คุณอาจจะไม่สามารถซื้อบ้านได้เลย
Federal Reserve economic data : M2 money supply vs. housing price index
แผนภูมิดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่สำคัญบางอย่าง บางทีอัตราเงินเฟ้อ CPI อาจไม่ใช่ปัญหาเดียว บางทีอัตราเงินเฟ้อของสินทรัพย์ อาจทำให้ผู้ออมเงินกลายเป็นนักลงทุนนอกเวลา แน่นอนว่าอุปสงค์ และอุปทาน มีผลกระทบต่อราคาของ bitcoin แต่ตลาดหุ้นไม่ต้องการเงินใหม่เพื่อสนับสนุนราคาเช่นกัน งั้นหรือ?
BITCOIN คือ การออม
การออม: เงินเก็บ ที่มาจาก รายรับที่มากกว่ารายจ่าย –Merriam-Webster
เหตุใดเราจึงเก็บเงินไม่ได้อีกต่อไป กราฟ FRED ที่รวมอยู่ในบทความนี้จะบอกทุกอย่าง หากคุณไม่ได้เป็นนักลงทุน คุณจะไม่มีวันตามทัน นั่นคือจนถึงปัจจุบัน
ออมใน Bitcoin เราสามารถทำได้ ในโลกที่ปราศจากสิ่งที่ควรค่าแก่การลงทุน แม้ว่าพรุ่งนี้ราคาของ Bitcoin จะถึง 1 ล้านเหรียญ แต่คำถามคือ เราจะขายมันเพื่ออะไร? ตลาดหุ้นขึ้นอยู่กับการพิมพ์เงินใช่ไหม? หรือจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่ผู้เช่าของเราไม่ต้องเสียค่าเช่าให้เราก็ได้ ตามปลายปากกาของนักการเมือง? หรือจะลงทุนในหินสีเหลือง ที่มี “คุณค่าในตัว”?
Bitcoin จะเป็น Ponzi ได้อย่างไรในเมื่อ Bitcoiners ไม่ต้องการแม้แต่เงินของคนอื่น สิ่งที่หลายคนไม่เข้าใจคือ ตอนนี้เรากำลังเปลี่ยนเกม สิ่งที่หลายๆคนไม่เข้าใจคือ เรากำลังพยายามสร้างสิ่งใหม่ เพื่ออนาคตที่ดีของลูกๆ หลานๆ ของเรา
ที่มา LINK
